"แม่" มิเพียงเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่เท่านั้น
หน้าที่ของแม่ลึกซึ้งมากมายกว่านั้น คุณแม่ทั้งหลายท่านเป็นห่วงว่า
ทำอย่างไรถึงจะเลี้ยงดูลูกให้ได้ดีที่สุด เพื่อให้ลูกเติบโตขึ้น
เป็นคนที่มีคุณภาพทั้งกายและใจ
มีจดหมายมาจากคุณแม่ท่านหนึ่งกำลังกลุ้มใจเหลือเกิน
กับพฤติกรรมการเล่นของลูก
ถึง...นิตยสารแม่และเด็ก
ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เสนอข่าวเด็กวัยรุ่นอเมริกา เลียนแบบหนัง
แสดงความโหดร้ายโดยการระดมยิงเพื่อนนักเรียนตายกว่า 20 คน
คงเป็นข่าวที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ สำหรับดิฉันเองแล้วให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เพราะกำลังมีลูกชายวัย 10 ขวบที่ชอบดูหนังสงคราม มีปืนปลอมเต็มบ้านเลย
แต่ดิฉันคิดว่าฝากเขาเลี้ยงไว้เพียงช่วงกลางวันไม่กี่ชั่วโมงคงไม่มีอะไร
กว่าจะรู้ถึงความรุนแรงก็ต้องมานั่งแก้กันจนปวดหัว
ดิฉันเขียนมาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นเรื่องสอนใจกับคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวอื่นๆ
และอยากให้นิตยสารแม่และเด็กช่วยบอกวิธีแก้ไขให้ลูกชาย
ให้เขากลับมามีจิตใจแบบเด็กธรรมดาด้วยค่ะ
พรรณศรี
|
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ เตือนว่า แม่จะกลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญน้อยลง
ในการสร้างชีวิตลูกหากไม่พยายามทำบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ที่สุด
ผลการวิจัยที่น่าเป็นห่วงสำหรับวิถีชีวิตในสังคมเมือง นั่นคือ
วิถีชีวิตในสังคมเมืองสร้างปัญหาให้เกิดแก่ครอบครัว เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการกำหนดการใช้เวลาของครอบครัว
ส่งผลให้แม่ให้การอบรมสั่งสอนลูกน้อยลงตามไปด้วย เด็กๆ จะถูกทดแทน
การใช้เวลากับแม่ด้วยอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งมีผลต่อการกำหนดความคิด
และพฤติกรรมของเด็กให้เบี่ยงเบนไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้
พ่อแม่จำนวนไม่น้อยไม่ได้ตระหนักในการใช้เวลากับลูกๆ
ให้คุ้มค่าในการพัฒนาความรัก พัฒนาความรู้พัฒนาครอบครัวในเชิงบวกอย่างที่ควรจะเป็น
สิ่งที่ผมเป็นห่วงอย่างยิ่งต่ออนาคตการสร้างคนรุ่นต่อไปของสังคมไทยก็คือ
หากพ่อแม่แต่ละครอบครัวไม่ได้ใช้เวลาในขณะอยู่กับลูกให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุด
ในอนาคตข้างหน้าพ่อแม่อาจจะต้องเสียใจที่ได้มีส่วนทำร้ายชีวิตลูกรักโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพราะเขาไม่ได้รับสิ่งที่ควรจะได้ จากบุพการีของเขาในวัยที่เขาต้องการ
อิทธิพลจอตู้ทำให้ลูกเป็น...
แม้ว่าสถิติดังกล่าวไม่ได้สรุปถึงผลดีผลเสียของการที่เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูโทรทัศน์
หรือทำกิจกรรมอื่นๆ แต่ในฐานะที่เป็นแม่จะตระหนักบ้างหรือไม่ ลูกจะสูญเสียอะไรบ้าง
หากแม่ไม่ได้ใช้เวลากับเขาอย่าง "ดีเลิศ"
ลองสังเกตดูว่า หากปล่อยให้เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่หน้าจอโทรทัศน์
- เกียจคร้าน... โทรทัศน์จะเพิ่มหลังเฉื่อยเพราะกล้ามเนื้อตาจะทำงานหนักอย่างเดียว
ขณะที่ในวัยนี้น่าจะได้พัฒนาทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะสมองที่ไม่ได้ขบคิดมากนัก
จากภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ลูกจะเกียจคร้านมากขึ้นจะเกี่ยงงอนเมื่อถูกใช้งาน
จะผลัดวันประกันพรุ่งรอให้รายการที่ตนดูอยู่นั้นจบสิ้นเสียก่อน
- อยากมี อยากเป็น อยากได้ เหมือนกับที่โฆษณาทางโทรทัศน์...
บ่อยครั้งที่ลูกพยายามรบเร้าให้คุณแม่พาไปห้างสรรพสินค้า
และภาคภูมิใจเมื่อได้รับการตอบสนองทางวัตถุจากภายนอก เมื่อเด็กเติมเต็มจากภายนอก
แน่นอน ภายในใจของเขาย่อมว่างเปล่าไม่รู้ว่าตนเองมีศักยภาพอะไร
เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเป็นผู้เปิดรับข้อมูลไม่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่
ในการเรียนรู้และแสวงหา เนื่องจากพ่อแม่ผู้ใกล้ชิดมากที่สุดไม่ได้ทำหน้าที่ "ผู้นำ"
ในการนำทิศทางชีวิต โดยชี้ให้ลูกเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่
และช่วยเขาในการพัฒนาศักยภาพนั้นออกมาจากภายใน เด็กจึงมีแนวโน้ม
ขาดความมั่นใจในตัวเองและอยากเป็นเหมือนคนอื่นตลอดเวลา
- ขาดความอดทน... คุณอาจไม่ตระหนักถึงพิษร้ายของรีโมตคอนโทรล
อุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนช่องไปมา เด็กๆ อยากดูช่องไหน
ก็ได้ทันที เบื่อก็เปลี่ยน เบื่อก็เปลี่ยน เด็กจะถูกทำลายการสร้างสมาธิลงไปเรื่อยๆ
ผลร้ายของการขาดความอดทนเด็กจะฉุนเฉียวเมื่อไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ
เด็กจะสามารถทะเลาะกันเองหรือโกรธพ่อแม่ได้ทันทีเมื่อถูกขัดใจเด็กจะขาดสมาธิ
ในการอ่านหนังสือเพราะการอ่านต้องใช้เวลา ใช้ความอดทนและไม่น่าสนใจเท่าทีวี
- เด็กจะทำในสิ่งที่แม่ไม่เคยสอน... เด็กจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า
สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ควรทำหรือไม่ควรทำอย่างถูกต้องตามจริยธรรมอันดีของสังคม
เนื่องจากอิทธิพลของโทรทัศน์มักจะสะท้อนภาพของความรุนแรงการใช้กำลัง
ความอิจฉาริษยา ความเพ้อฝัน ความตลกโปกฮาที่ไร้สาระทางปัญญาหรืออื่นๆ
ตามแต่ผู้จัดการในสังคมทุนนิยมเสรีจะพาไป เด็กก็จะรับค่านิยมเหล่านี้
และจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบชนิดที่แม่ยังแปลกใจในคำพูด
ความสนใจและพฤติกรรมต่างๆ ของลูกว่า "ฉันไม่เคยสอนแบบนี้เลยนะ
ไม่รู้ไปจำมาจากไหน"
- เด็กจะเป็นคนที่ไร้วินัยในการดำเนินชีวิต...
เด็กมีแนวโน้มชอบทำตามใจปรารถนา เพราะเขาจะใช้เวลามาก
เท่าที่แรงดึงดูดของโทรทัศน์จะพาไป โททัศน์จะมีอิทธิพลที่ยึดทั้งตัวเด็ก
ความคิด ความสนใจ และเวลา ให้หมดไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
จนไม่ได้พิจารณาว่าเวลาไหนสมควรทำอะไร
- ฯลฯ
ผลกระทบที่ส่งผ่านจากเครื่องรับโทรทัศน์สู่ลูกอาจจะไม่เกิดขึ้นทันที
แต่จะสะสมอยู่ในความคิดและค่อยๆ แสดงออกเป็นพฤติกรรม ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยว่าเด็กชายชาวอเมริกันที่ใช้ปืนกลยิงกราดพ่อแม่และเพื่อนนั้น
เขาได้รับอิทธิพลจากโทรทัศน์หรือไม่ หรือวัยรุ่นสาวชาวญี่ปุ่นที่ฆ่าตัวตาย
นักร้องได้รับอิทธิพลที่ส่งผ่านสื่อมวลชนหรือไม่ และมีอีกหลายๆ
กรณีทำนองนี้ที่ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่แน่นอนที่ว่าพฤติกรรมเหล่านี้
ล้วนตรงข้ามกับการสั่งสอนของแม่ เพราะคงไม่มีแม่ที่จิตปกติคนใด
ที่ส่งผ่านอิทธิพลแง่ลบลงไปในความคิดของลูก แทนการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกอย่างแน่นอน
แม่ควรใช้เวลากับลูกอย่างดีที่สุด
ผมเชื่อว่าในฐานะแห่งความเป็น "แม่" คงไม่มีแม่คนใดอยากเห็น
วันที่อิทธิพลในแง่ลบจากโททัศน์แสดงออกเป็นพฤติกรรมของลูกอย่างแน่นอน
ดังนั้นแม่ควรที่จะทำหน้าที่ "ตัดไฟเสียแต่ต้นลม" โดยตระหนักว่า
"ให้เราทำลายอิทธิพลของโทรทัศน์เสียก่อน ก่อนที่อิทธิพลของมันจะทำลายลูกของเรา"
ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่าเด็กๆ จะไม่สามารถดูโทรทัศน์ได้เลย
เพราะในความเป็นจริงรายการโทรทัศน์ที่มีสาระประโยชน์ก็มีอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง
แต่ผมอยากให้ พ่อ แม่ พี่น้อง และคนในครอบครัวมีโอกาสใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่
มากกว่าที่จะให้โทรทัศน์ดึงเวลาอันมีค่าเหล่านี้ไป เพราะหากเปรียบเทียบกับการให้ลูก
ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับหน้าจอโทรทัศน์ กับการที่พ่อและแม่ใช้เวลาดังกล่าวกับลูก
ในการทำสิ่งเหล่านี้ อาทิ
- ใช้เวลาอบรมสั่งสอน ให้ลูกๆ เรียนรู้ค่านิยมและสั่งสมปรัชญาในการมองโลกที่ถูกต้อง
- ใช้เวลาในการพูดคุยให้คำปรึกษาปัญหาต่างๆ ที่ลูกๆ มีตามวัยของเขา
- ใช้เวลาการปฏิสัมพันธ์และทำกิจกรรมด้วยความรักความอบอุ่นภายในครอบครัว
- ใช้เวลาให้ลูกๆ เรียนรู้ที่จะอ่านหนังสือดีๆ
- ใช้เวลาในการถ่ายทอดภูมิปัญญาของพ่อแม่ลูกไม่ว่าจะเป็น วิชาทำอาหาร
เย็บปักถักร้อย การซ่อมแซมเครื่องมือ การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา ฯลฯ
- ใช้เวลาในการพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ในชีวิตลูก
- หรือใช้เวลาใดๆ ก็ตามที่มีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของลูกสูงสุด
เมื่อเขาเติบโตขึ้น
"แม่" นอกจากจะมีหน้าที่ในการให้กำเนิดแล้ว
แม่จำเป็นต้องมีหน้าที่และบทบาทความรับผิดชอบต่างๆ ที่จะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
และเป็นประชากรที่สมบูรณ์ ดังนั้นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ "การเป็นเกราะคุ้มภัย"
ที่คอยปกป้องมิให้ลูกเสี่ยงต่อการได้รับ "ยาพิษร้าย" จากอิทธิพลภายนอกโดยไม่รู้ตัว
ด้วยการใช้เวลากับลูกอย่างถูกต้องและสมควร
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
|